คอนแทคเลนส์สายตาสองข้างต่างกันมาก (Anisometropia)
ด.ช. เตย์ อายุ 8 ปี ชาวเวียดนาม คุณแม่พามาพบด้วยปัญหาที่ลูกชายมีปัญหาสายตาแต่ไม่ยอมใส่แว่น คุณแม่พาไปหาจักษุแพทย์ที่เวียดนาม จักษุแพทย์ตัดแว่นให้และกำชับให้ใส่แว่นตาตลอดเวลาเพื่อป้องกันโรคตาขี้เกียจในตาข้างซ้าย อย่างไรก็ดี น้องเตย์ ยอมใส่แว่นอยู่พักใหญ่จนกระทั่งเมื่อเริ่มโตขึ้น ก็เริ่มต่อต้านการใส่แว่นตามากขึ้น จนกระทั่งบางครั้ง เมื่อคุณแม่บังคับให้ใส่แว่นมากๆ จะแกล้งนำแว่นไปซ่อน หรือทำลายแว่นให้หักหรือแตกเพื่อจะได้ไม่ต้องใส่แว่น
คุณแม่ของน้องเตย์ (นามสมมุติ) พาลูกมาตรวจสายตาที่ร้านหมอแว่น (เนื่องจากลูกสาวคนโตมาเรียนที มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) และได้รู้จักกับเพื่อนที่เป็นลูกค้าร้าน) จากการตรวจสายตาน้องเตย์ ได้ค่าสายตา ด้านขวา +0.50 D. (VA 20/25) และด้านซ้ายคือ +6.50 D.(VA 20/40+1) ซึ่งการที่น้องเตย์ มีค่าสายตาทั้งสองข้างต่างกันมาก ทำให้เกิดปัญหาในการใส่แว่นคือ ขนาดภาพของทั้งสองตาจะต่างกัน ทำให้เมื่อใส่แว่น สมองต้องทำงานหนักเพื่อรวมภาพที่มีขนาดต่างกันเข้าด้วยกัน และจากการที่เลนส์สองข้างมีกำลังต่างกันมาก ทำให้เกิด Prismatic Effect ในตาทั้งสองข้างต่างกันทุกครั้งที่เหลือบตามอง ทั้งสองปัจจัยนี้ส่งผลให้มีอาการปวดหัวเมื่อใส่แว่นตาและทำให้ไม่อยากใส่ รวมทั้งปัญหาทางด้านความสวยงาม กล่าวคือ การใส่แว่นตาที่มีความหนาของเลนส์สองข้างต่างกันมาก ทำให้ดูแปลกเมื่อใส่แว่น อาจถูกเพื่อนๆล้อ จึงทำให้ไม่อยากใส่แว่น
การแก้ไข ทำโดยให้น้องเตย์ใส่คอนแทคเลนส์ โดยมีคุณแม่ช่วยดูแลการใส่ ถอดและรักษาความสะอาดให้ในระยะแรก เมื่อได้ใส่คอนแทคเลนส์ น้องมีอาการดีใจ เนื่องจากจะไม่ถูกคุณแม่บังคับใส่แว่นหนาแลดูน่าตลกอีกต่อไป ทางร้านได้กำชับให้คุณแม่ทำความสะอาดคอนแทคเลนส์ให้น้องทุกวัน รวมถึงให้ปิดตาด้านขวาเป็นช่วงๆ เพื่อกระตุ้นการใช้งานของตาซ้าย เป็นการรักษาอาการตาขี้เกียจให้ดีขึ้นด้วย
หลังจากการแก้ไข ครึ่งปี น้องเตย์ มีการมองเห็นของตาซ้าย( VA) ดีขึ้นเป็น 20/30 คุณแม่บอกว่าน้องเตย์ ให้ความร่วมมือในการใส่คอนแทคเลนส์ดีกว่าแว่นมาก และสังเกตเห็นว่าน้องเตย์ มีความร่าเริงขึ้นเทียบกับเมื่อก่อน ซึ่งคุณแม่คิดว่าน่าจะเกิดจากการที่น้องมีความมั่นใจมากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องใส่แว่นหนาทำให้ไม่ต้องถูกเพื่อนๆล้อในห้องเรียน